" ทฤษฎีบันได 9 ขั้นสู่ความพอเพียง "
ขั้นที่ 1 พอกิน
โดยให้ความสำคัญกับ ข้าวปลาอาหารมากกว่าเงินซึ่งเป็นเพียงแค่ “ตัวกลาง” ในการแลกเปลี่ยนตามมาตรฐานสากล ต้องเริ่มจากการอยู่โดย ด้วยการปลูกพืช ผัก ผลไม้ ให้พอกิน นอกจากนั้น หัวใจสำคัญของ “พอกิน” ยังมีความหมายรวมไปถึงความปลอดภัยในอาหาร กินอย่างไรให้มีสุขภาพดี
ขั้นที่ 2 - 4 พอใช้ พออยู่ พอร่มเย็น
การ “ปลูกป่า ๓ อย่าง ประโยชน์ ๔ อย่าง” ซึ่งป่า ๓ อย่างจะใ
ห้ทั้ง อาหาร เครื่องนุ่งห่ม สมุนไพรสำหรับรักษาโรค ให้ไม้สำหรับทำบ้านพักที่อยู่อาศัย และให้ความร่มเย็นกับบ้าน กับชุมชน
ขั้นที่ 5 - 6 บุญและทาน
วัด หรือ ศาสนสถานตามแต่ละศาสนาเป็นศูนย์กลาง เป็นการฝึกจิตใจ ให้ละซึ่งความโลภ และกิเลสในการอยากได้ ใคร่มี ลดปัญหาช่องว่างระหว่างชนชั้น ตามความหมายอันลึกซึ้งของคำ “Our Loss is Our Gain” หรือ “ยิ่งทำยิ่งได้ ยิ่งให้ยิ่งมี” การให้ไปคือได้มา จะส่งผลกลับมาเป็นเพื่อน เป็นกัลยาณมิตร คอยช่วยเหลือกัน ในวันที่โลกประสบกับวิกฤตการณ์
ขั้นที่ 7 เก็บรักษา
หลังสามารถพึ่งตนเองได้ พอเหลือทำบุญทำทานแล้ว คือการรู้จักเก็บรักษา ซึ่งเป็นการตั้งอยู่ในความไม่ประมาท เป็นการสร้างรากฐานของการเอาตัวรอดในเวลาเกิดวิกฤตการณ์ โดยยึดแนวทางตามวิถีชีวิตชาวนาสมัยก่อนซึ่งเก็บรักษาข้าวไว้ในยุ้งฉางเพื่อ ให้พอมีกินข้ามปี การเก็บรักษายังเน้นให้รู้จักวิธีการถนอมอาหาร ด้วยการแปรรูปอาหารหลากชนิด อาทิ ปลาร้า ปลาแห้ง มะขามเปียก พริกแห้ง หอม กระเทียม ฯลฯ
ขั้นที่ 8 ขาย
การค้าขายสามารถทำได้ แต่ทำภายใต้การรู้จักตนเอง รู้จักพอประมาณ คือ ของที่เหลือจากทุกขั้นแล้วจึงนำมาขาย เช่น ทำนาอินทรีย์ ปลูกข้าวปลอดสารเคมี ได้ผลผลิตเก็บไว้พอกิน เก็บไว้ทำพันธุ์ ทำบุญ ทำทาน แล้วจึงนำมาขายด้วยความรู้สึกของการ “ให้” อยากที่จะให้สิ่งดีๆ เผื่อแผ่ให้กับคนอื่นๆ ได้รับสิ่งดีๆ นั้นๆ ด้วย
ขั้นที่ 9 (เครือ) ข่าย กองกำลังเกษตรโยธิน
คือการสร้างกองกำลังเกษตรโยธิน หรือการสร้างเครือข่ายเชื่อมโยงทั้งประเทศ เพื่อขยายผลความสำเร็จตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อการแก้ปัญหาวิกฤต ๔ ประการ อันได้แก่ วิกฤตการณ์สิ่งแวดล้อม ภัยธรรมชาติ (Environmental Crisis)
วิกฤตการณ์โรคระบาดทั้งในคน สัตว์ พืช (Epidemic Crisis)
วิกฤตเศรษฐกิจ ข้าวยากหมากแพง (Economic Crisis)
วิกฤตความขัดแย้งทางสังคม/สงคราม (Political/Social Crisis)